ฝนเว้นวรรค ฟ้ากระจ่าง แดดจัด เก็บ ขี้เหล็กมาตากแห้ง กันครับ
ขี้เหล็กตากแห้ง เป็นผลิตภัณฑ์อีกหนึ่งอย่างที่ฟาร์มเราทำ โดยตั้งเพจขึ้นเป็นการเฉพาะ (
https://www.facebook.com/KeeLek123) และจดโดเมนภาษาไทยไว้ด้วย (
ขี้เหล็ก.com) เพื่อน ๆ หลายคนอาจจะคิดว่า สงสัยผมคิดจะทำการใหญ่ ทำเป็นอุตสาหกรรมแน่ ๆ เลย เพราะปั้นแบรนด์อย่างจริงจัง
ความจริง ขี้เหล็กตากแห้ง เป็นอีกกิจกรรมเล็ก ๆ ภายในฟาร์มเล็ก ๆ ของเรานี่เองครับ ไม่ได้ใหญ่โต ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน คนปลูกต้นขี้เหล็ก 1 คน ซึ่งก็คือ ตัวผมเอง ปลูกแล้วก็รดน้ำ พรวนดิน เดินเก็บหนอน ฉีด น้ำหมักชีวภาพสูตรไล่มด กำจัดเพลี้ย ที่หมักเอง
พอหน้าฝน ก็หิ้วจอบ ถากหญ้า ที่เผลอไม่ได้ แป๊บเดียวจะสูงทัดเทียมต้นขี้เหล็กเลยครับ .. จากนั้น พอเธอแตกยอด แตกใบอ่อน ผมก็เดินใช้คีมเท่ ๆ อันละร้อยกว่าบาท เดินตัดใส่เข่งจนเต็ม แล้วก็แบกมารูดใบจากก้าน เด็ดยอดอ่อน ใส่ตะกร้า ระหว่างนั้นก็ฟัง The Secret Sauce Podcast ของ เคน นครินทร์ เพลิน ๆ เมื่อยก็พัก หิวก็กิน
หลังอาหารเย็น ก็จัดการต้มขี้เหล็กที่เด็ดไว้ ตามสูตรที่บอกไว้ในการขายว่า ต้มน้ำเดือด 2 ครั้ง .. ทำไมต้อง 2 ครั้ง อันนี้นอกเหนือจากภูมิปัญญาชุมชนที่บอกต่อ ๆ กันมา ยังมีงานวิจัยจากสถาบันการศึกษาที่น่าเชื่อถือว่า การต้ม 2 ครั้ง ด้วยน้ำเปล่า (ย้ำอีกครั้ง ว่า น้ำเปล่า) จำนวน 6 เท่าของน้ำหนักขี้เหล็ก เดือดประมาณ 4-5 นาที จะละลายสารประกอบที่มีรสขม และเป็นอันตรายต่อตับ ในระดับที่น่าพึงพอใจครับ
พอรุ่งเช้า ก็จัดการตากตั้งแต่แดดแรก แดดจัด ๆ เพียงครึ่งวันก็แห้งแล้วครับ และเพราะเราทำครั้งละไม่มาก เราจึงเอาใจใส่คอยกลับ คอยคุ้ยเขี่ย (นึกถึงไก่ไหมครับ 5555) สักบ่าย ๆ ก็เก็บลงตะกร้าโปร่ง ให้ความชื้น (ที่อาจจะมี) ระเหยได้ตามสบาย ก่อนที่จะเก็บลงในถุงพลาสติกขนาดใหญ่ในวันถัดไป
เราทำแบบนี้ ไปเรื่อย ๆ แบบเป็นงานประจำวัน .. เมื่อเราคิดว่า เราจะทำการเกษตรแบบสบาย ๆ แบบผสมผสาน แบบพอมีพอกิน แบบปราณีต หรืออะไรก็ตามแต่จะเรียกกัน ... ความคิดกับการกระทำ ควรจะเป็นเรื่องเดียวกัน ใช่ไหมครับ
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า เราจะทำการเกษตรแบบโบราณ ย้อนยุค ฝันหวาน หรอกนะครับ ... เพราะก่อนเก็บขี้เหล็ก เราก็เข้าเว็บกรมอุตุ ดูแผนที่อากาศ ดูความชื้นสัมพันธ์ ดูการพยากรณ์อากาศ ... เราใช้โซเชียลในการทำการตลาด เราฟังพอดเคสผ่านมือถือ 55555
โควิดคงจะอยู่กับเราอีกนาน รวมทั้งคงจะมีเครือญาติของโควิดตามมาอีกในอนาคต เราคงต้องปรับวิถีชีวิตให้สอดคล้องกับระบบนิเวศใหม่ ไม่เช่นนั้น เราก็คงจะสูญหาย ไปจากหน้าประวัติศาสตร์ครับ